ก่อนที่จะถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยยิ่ง จึงมีการวิเคราะห์วิจัยอย่างถี่ถ้วนถึงผลกระทบว่าจะมีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
มนุษย์ พืชและสัตว์หรือไม่ ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่
ก่อนที่จะทรงเห็นชอบให้นำไปใช้ในการปฏิบัติการซึ่งได้มีการดำเนินการณ์วิเคราะห์วิจัย
โดยสำนักการปฏิบัติการฝนหลวง และหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน คือ กรมอาชีวอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข สถาบันเวชศาสตร์การบิน กองทัพอากาศ สภากาชาดไทย กรมอุตุนิยมวิทยา
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล
ดังนั้นจึงเป็นที่มั่นใจได้ว่าน้ำฝนในเขตพื้นที่เป้าหมายปฏิบัติการสะอาดเกินมาตรฐานที่จะใช้อุปโภคบริโภคได้
ไม่ก่อให้เกิดสภาพมลภาวะต่อสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากนั้น ยังทรงโปรดให้ใช้สารเคมีที่ผลิตในประเทศเท่าที่จะทำได้ และราคาไม่แพง
ฉะนั้นสารเคมีที่ใช้สำหรับฝนหลวงทั้งหมด 8 ชนิด
ปัจจุบันมีเพียง 2 ชนิดที่ต้องสั่งเข้ามาในประเทศ
แต่ในอนาคตอันใกล้จะผลิตได้เองหมดในประเทศ
ได้มีการทดลองและนำเข้าสู่การใช้ปฏิบัติการมาตามลำดับ กล่าวคือ
ปี
พ.ศ. 2512-2513 ทดลองใช้วิธีการโปรยก้อนน้ำแข็งแห้ง
การพ่นละอองน้ำเข้าสู่ก้อนเมฆและการพ่นสารละลายเกลือแกงเข้มข้นแทนการใช้น้ำเปล่า
ภาพเจ้าหน้าที่กำลังทดลองใช้สารเคมี
พ.ศ. 2513
ทดลองใช้สารเคมีโซเดียมคลอไรด์แบบผง ซึ่งต่อมาเรียกว่าเกลือแป้งฝนหลวง
และนำเข้าสู่การใช้ปฏิบัติการในปีต่อมา
พ.ศ.
2515 เริ่มปฏิบัติการด้วยสารเคมียูเรีย ทั้งแบบผงและแบบสารละลายเข้มข้น
และนำเข้าสู่การใช้ปฏิบัติการในปีต่อมา
พ.ศ.
2516 เริ่มทดลองใช้ผงแคลเซียมคาร์ไบด์
และใช้สารเคมีฝนหลวงในลักษณะสารผสมมากขึ้น และนำเข้าสู่การใช้ปฏิบัติการในปีต่อมา
พ.ศ.
2517-2519 สารเคมีที่ใช้ในการปฏิบัติการช่วงนี้ ประกอบด้วย น้ำแข็งแห้ง
โซเดียมคลอไรด์ ยูเรีย แคลเซียมคาร์ไบด์ และยังคงใช้อยู่จนปัจจุบัน
ซึ่งได้รับการพัฒนาทางด้านกายภาพและคุณสมบัติทางเคมีตามลำดับ
พ.ศ.
2520
ในการทดลองใช้สารเคมีแอมโมเนียมไนเตรทเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชนิด
และนำเข้าสู่การใช้ปฏิบัติการในปีต่อมา
พ.ศ. 2524-2525 ทดลองใช้สารเคมีแคลเซียมออกไซด์ และนำเข้าสู่การใช้ปฏิบัติการในปีต่อมา
พ.ศ. 2526 ทดลองใช้สารละลายเข้มข้นสูตร ท.1 ต่อมาได้ทดลองใช้ในลักษณะผงละเอียด
และนำเข้าสู่การใช้ปฏิบัติการในปีต่อมา
พ.ศ. 2527-2530 สรุปแล้วจนถึงปัจจุบันสารเคมีที่ใช้ในช่วงดังกล่าวจึงมีทั้งหมด
8 ชนิด คือ แคลเซียมคลอไรด์ น้ำแข็งแห้ง ยูเรีย
โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียมออกไซด์ แคลเซียมคาร์ไบด์ แอมโมเนียมไนเตรท และสูตร ท.1 ซึ่งใช้ทั้งในรูปอนุภาคแบบผงและแบบสารละลาย
คุณสมบัติทั่วไปของสารเคมีที่ใช้
ส่วนใหญ่จะเป็นสารเคมีที่ดูดซับความชื้นได้ดีและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเล็กน้อย
เมื่อสัมผัสกับน้ำในอากาศซึ่งเมื่อหมด
ปฏิกิริยาแล้วยังทำหน้าที่เป็นแกนกลั่นตัวของเม็ดน้ำในอากาศ
ผลของการกลั่นตัวนี้จะคายความร้อนแฝง
ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางพลศาสตร์และเมฆอีกด้วย
สารเคมีที่ใช้แบ่งออกเป็น
3 กลุ่ม
กลุ่มที่
1
เป็นสารเคมีที่เมื่อเกิดปฏิกิริยาแล้วทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น
(สูตรร้อน) ได้แก่ แคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมคาร์ไบด์ และแคลเซียมออกไซด์
ภาพที่แสดงถึงการเกิดปฏิกิริยาของสารเคมีที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น
กลุ่มที่ 2
เป็นสารเคมีที่เมื่อเกิดปฏิกิริยาแล้วทำให้อุณหภูมิต่ำลง
(สูตรเย็น) ได้แก่ ยูเรีย แอมโมเนียมไนเตรท และน้ำแข็งแห้ง
ภาพที่แสดงถึงการเกิดปฏิกิริยาของสารเคมีที่ทำให้อุณหภูมิต่ำลง
กลุ่มที่ 3
เป็นสารเคมีที่ดูดซับความชื้น ทำหน้าที่เป็นแกนกลั่นตัว
และทำให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเพราะปฏิกิริยาเคมีเพียงเล็กน้อย
แต่จะทำให้เกิดการคายความร้อนแฝงเนื่องจากขบวนการกลั่นตัวของไอน้ำ กลายเป็นหยดน้ำ สารเคมีกลุ่มนี้
ได้แก่ โซเดียมคลอไรด์ และ ท.1
ภาพที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น